ประเทศไทยของเราในอดีตนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติพืชและสัตว์เป็นอย่างมากดังประโยคที่เคยได้ยินมาว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในท้องนามีสัตว์มากมายหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปลา ปู ดังนั้นชาวบ้านจึงจับมาบริโภคเป็นอาหารได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเพาะเลี้ยงสัตว์เหล่านี้แต่อย่างใด
ปูนาซึ่งถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนและแคลเซียมชั้นดีนั้นสามารถจับได้ง่ายในนาข้าวและนำไปทำอาหารได้หลายชนิด เช่น นำปูไปดองไว้ใส่ในส้มตำหรือยำมะม่วง เนื้อใช้ทำลาบปู มันปูใช้ทำปูอ่อง ก้ามปูใช้ทำก้ามปูนึ่งนำไปจิ้มกับน้ำจิ้มรสแซ่บ หรือนำก้ามไปผัดผงกระหรี่ก็อร่อยเหลือหลาย ส่วนปูตัวเล็กๆ ชาวบ้านจะจับมาทำน้ำปูซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองอันเลื่องชื่อของภาคเหนือ น้ำปูใช้เป็นเครื่องชูรสอาหารให้มีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น เช่น นำน้ำปูมาใส่ในยำหน่อไม้ แกงหน่อไม้ ส้มตำ ตำส้มโอ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปทำน้ำพริกน้ำปู๋แล้วรับประทานร่วมกับหน่อไม้ต้ม
ผู้อ่านจะเห็นได้ว่าปูนามีประโยชน์มากมาย แม้แต่กากปูที่เหลือจากการทำน้ำปูก็สามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ เช่น ต้นลำไย ทำให้เจริญงอกงาม และมีผลดก อย่างไรก็ตามเนื่องจากปูนาในธรรมชาตินั้นมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็วสาเหตุจากชาวนาใช้สารเคมีในนาข้าวกันมาก ดังนั้นทำให้เกิดสภาวะปูนาขาดแคลน วิธีหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ก็คือการนำปูนาจากธรรมชาติมาทำการเพาะเลี้ยงซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนักเพราะว่าสามารถเลี้ยงปูได้ในบ่อซีเมนต์เพื่อไว้ใช้เป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัยใช้บริโภคในครัวเรือน หากมีปูจำนวนมากก็สามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ขั้นตอนการเลี้ยงปูนา
1. การเตรียมบ่อเลี้ยงปู สร้างบ่อซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร และสูง 1 เมตร นำท่อพีวีซี จำนวน 2 ท่อ มาใส่ไว้ในบ่อสำหรับระบายน้ำออกจากบ่อ ในกรณีที่ทำบ่อใหม่ให้ใส่น้ำลงไปเพื่อลดความเค็มจากปูนซีเมนต์ในบ่อ ทำการเปลี่ยนน้ำในบ่อประมาณ 3-4 ครั้ง และอาจนำต้นกล้วยมาใส่ลงไปในบ่อเพื่อให้หายเค็มเร็วขึ้น หลังจากนั้นนำดินมาใส่ลงไปจนมีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร (อาจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมตามสภาพพื้นที่) บ่อเลี้ยงปูควรอยู่ในที่ร่มเพราะปูไม่ชอบอากาศร้อน ถ้าอากาศร้อนมากปูจะตายดังนั้นบ่อเลี้ยงควรมีร่มเงาจากต้นไม้หรือมีหลังคาหรือทำตาข่ายพรางแสง ใส่ท่อหรือแผ่นกระเบื้องเพื่อให้ปูมีแหล่งซ่อนตัวและหลบหลีกเพราะว่าปูมีนิสัยชอบทำร้ายกันเอง นอกจากนี้ยังต้องมีตาข่ายปิดปากบ่อเพื่อป้องกันไม่ให้ปูหนี หากเกษตรกรมีบ่อเก่าอยู่แล้วก็สามารถเลี้ยงปูนาได้โดยไม่ต้องทำบ่อใหม่ ทำการจัดสภาพแวดล้อมในบ่อให้เลียนแบบที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของปู โดยการปลูก ข้าว ผักบุ้ง หญ้า จอกแหน สาหร่าย เพราะนอกจากที่ปูจะใช้เป็นอาหารแล้วยังใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนอีกด้วย หลังจากนั้นใส่น้ำลงไปในบ่อให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร
2. นำปูที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยใช้ขนาดความยาวของลำตัวประมาณ 4 เซนติเมตร คัดเอาแต่ตัวที่แข็งแรงและมีขาที่ครบสมบูรณ์มาปล่อยลงในบ่อ โดยใช้ปูตัวผู้ 25 ตัว ปูตัวเมีย 25 ตัว
3. ให้อาหารปูสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อาหารที่ใช้เลี้ยงปู ได้แก่ ข้าวสุก (ข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวก็ได้) ปลาที่สับเป็นชิ้นเล็กๆ กุ้งฝอย ผักบุ้ง ผักกาด ข้อควรระวังก็คืออย่าให้อาหารปูมากเกินไปและต้องคอยหมั่นสังเกตดูว่าให้อาหารแค่ไหนปูถึงจะกินหมดเพราะถ้ามีอาหารเหลือก็จะบูดเน่า ดังนั้นจึงต้องเก็บออกจากบ่อเพราะหากทิ้งไว้ให้เน่าจะทำให้น้ำสกปรกทำให้ปูเป็นโรค สำหรับการระบายน้ำนั้นต้องระบายน้ำออกจากบ่อและเปลี่ยนน้ำใหม่ประมาณเดือนละ 2-3 ครั้ง
4. ปูนาจะผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูฝน แม่ปู 1 ตัว มีไข่ประมาณ 500-700 ฟอง ดังนั้นปูนา 1 ตัว จะออกลูกได้ประมาณ 500-700 ตัว และปูนาใช้เวลาในการเจริญประมาณ 6-8 เดือนจึงจะโตเต็มที่
5. การจับปูนานั้นควรจับในช่วงฤดูหนาวเพราะเป็นเวลาที่ปูมีรสชาติอร่อยที่สุด ถ้าหากจะนำไปขายก็จะสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าเวลาอื่นเพราะเป็นช่วงที่ปูขาดแคลน โดยจะขายได้ราคาตัวละ 2-5 บาท
ขอขอบคุณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. ภาคเหนือ) ที่ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้
ว่านพญามือเหล็ก |
ฤทธิ์การยับยั้งจุลินทรีย์ของว่านพญามือเหล็ก |
พญาว่าน |
ว่านนางคำ |
ว่านสมุนไพร ทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของไทย 1 |
โรคของผลไม้หลังเก็บเกี่ยว |
ทำไมเปิดไฟให้ต้นไม้ |
สะแล พืชพื้นบ้านที่มากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ |
ความสับสนในสมุนไพรวงศ์ขิง |
Internet of Things สำหรับ Smart Farmer |
บทความทั้งหมด |